วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ใบงานที่ 3 ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน


ขอบข่ายของโครงงาน
            ขอบข่ายของโครงงาน การดำเนินงานโดยมีนักเรียนเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ และครูอาจารย์เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา สรุปได้ดังนี้คือ
            1. เป็นกิจกรรมการศึกษาที่ให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเอง โดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆ ที่ได้พบเห็นมาแล้ว
            2. นักเรียนทุกคนเป็นผู้พิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือกลุ่ม จำนวน 2-8 คน ต่อกลุ่ม โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากกว่าก็ได้
            3.  นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจและความพร้อม
            4.  นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงานแผนปฏิบัติงาน และแปรผลรายงานต่อครูอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตาจุดหมายที่กำหนด
            5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย
 
โครงงานประเภทต่างๆ
            การแบ่งประเภทของโครงงานมีหลายวิธี เช่น แบ่งตามหมวดวิชาการงานและอาชีพในโรงเรียน เช่น โครงงานเกษตรกรรม โครงงานคหกรรม โครงงานอุตสาหกรรม โครงงานวิทยาศาสตร์   เป็นต้น และจากขอบข่ายโครงงานดังกล่าว จะเห็นได้ว่านักเรียนเป็นผู้ดำเนินงาน โดยได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน และนักเรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งด้านการเสนอโครงงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ตลอดจนทำแผนปฏิบัติการ และรายงานผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ทำให้สามารถแยกประเภทของโครงงานได้ 4 ประเภท ดังนี้คือ
            1. ประเภทพัฒนาผลงาน
            2. ประเภทศึกษา ค้นคว้า ทดลอง
            3. ประเภทสิ่งประดิษฐ์
4. ประเภทสำรวจข้อมูล
1. ประเภทพัฒนาผลงาน
โครงงานนี้เป็นโครงงานที่เกิดจากการได้ศึกษาเนื้อหาทางวิชาการและอาชีพ หรือวิชาสามัญต่างๆ แล้วนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางทฤษฎีหรือหลักวิชาดังกล่าว เช่น เมื่อได้ศึกษาเรื่องสมุนไพร ก็อาจทำโครงงานการใช้ยาปราบศัตรูพืชด้วยพืชสมุนไพร กำจัดเพลี้ย หนอน ฯลฯ เมื่อได้ศึกษาเรื่องถนอมอาหาร ก็อาจทำโครงงานแปรรูปผลผลิต เช่น การทำผักดอง ทำไส้กรอก ฯลฯ เมื่อได้ศึกษาเรื่องการเลี้ยงปลา ก็อาจทำโครงงานการเลี้ยงปลาสวยงาม การทำตู้ปลาจำหน่าย ฯลฯ เมื่อได้ศึกษาเรื่องการปลูกผักกางมุ้งก็อาจทำโครงงานปลูกผักกาดหัว ผักคะน้า ผักกาดขาว และผักบุ้งจีนเป็นต้น
2. โครงงานประเภทศึกษาค้นคว้า ทดลอง
            โครงงานนี้เป็นโครงงานที่เกิดขึ้นจากการศึกษาค้นคว้า ทดลอง เพื่อยืนยันทฤษฎีหรือหลักการที่ได้ศึกษามาแล้ว หรือต้องการทราบแนวทาง เพิ่มคุณค่าและการใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น
            - การศึกษาสูตรอาหารไก่ตอน
            - การทดลองปลูกพืชในน้ำยา หรือโดยไม่ใช้ดิน
- การศึกษาสีย้อมผ้าจากพืชสมุนไพร
            - การใช้ฮอร์โมนกับกิ่งกุหลาบ
- การใช้ฮอร์โมนในการผสมเทียมปลาดุก


3. โครงงานประเภทสร้างสิ่งประดิษฐ์
            โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่เกิดขึ้นหลังจากได้ศึกษาทฤษฎี หรือพบเห็นผลงานของผู้อื่นมาแล้ว เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่จะพัฒนาต่อไป จึงประดิษฐ์คิดค้นให้สามารถใช้ประโยชน์ ได้ดียิ่งขึ้น หรือเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย  เช่น
            - การประดิษฐ์หัวฉีดพ่นน้ำในแปลงปลูกผัก
            - การประดิษฐ์ของชำร่วย
            - การประดิษฐ์เครื่องบำบัดน้ำเสีย
            - การประดิษฐ์เครื่องเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำ
            - การประดิษฐ์ของใช้จากเศษวัสดุ


4. โครงงานประเภทสำรวจข้อมูล
            โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ได้ศึกษาและสำรวจข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาปรับปรุงหรือส่งเสริมให้ผลผลิตหรือผลงานมีคุณภาพ หรือคุณค่ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น เช่น
- การสำรวจราคาพืชผักในตลาดท้องถิ่น
- การสำรวจราคาปลาสวยงามในตลาดท้องถิ่น
- การสำรวจความต้องการปลาสวยงามในตลาดท้องถิ่น
- การสำรวจความต้องการพืชผักต่างๆ ในตลาดท้องถิ่น
- การสำรวจแหล่งวิชาการและสถานประกอบการในท้องถิ่น
- การสำรวจแหล่งความรู้ของเกษตรกรในท้องถิ่น






สืบค้นเมื่อ : วันจันทร์ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ใบงานที่2 ความหมายและความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านนี้มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยี ของคอมพิวเตอร์ จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์  เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลง โลกของเราในด้านต่างๆ มากมาย ได้แก่
1.  สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศ
2.  การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
3.  คอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญแทนเครื่องมืออื่นๆ ในอดีต เช่น เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคิดเลข เป็นต้น
4.  คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการออกแบบสถานการณ์หรือปัญหาที่ซับซ้อนต่างๆ
5.  คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในงานติดต่อสื่อสารของโลกปัจจุบัน

การศึกษาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีขึ้น เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในวิทยาการคอมพิวเตอร์ และมีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมได้ การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เรียน สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างสมบูรณ์ จุดมุ่งหมายที่สำคัญประการหนึ่งของการเรียน
การสอน คอมพิวเตอร์ ในโรงเรียน คือ การที่ผู้เรียนได้มีโอกาสนำความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ    ด้วยตนเอง   ซึ่งวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากวิธีหนึ่งคือการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ ในการศึกษา ทดลอง แก้ปัญหาต่างๆ เพื่อนำผลงานที่ได้มาประยุกต์ใช้งานจริง หรือเพื่อใช้ช่วยสร้างสื่อเสริมการเรียนการสอนให้มี   ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โครงงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ พร้อมทั้งเครื่องมือต่างๆในการแก้ปัญหา รวมทั้งการพัฒนาเจตคติในการสร้างผลงาน

โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ผู้เรียนสามารถศึกษาปัญหาที่ตนสนใจ ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่ต้องใช้ความรู้ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาผสมผสานกัน ซึ่งบางโครงงานอาจต้องใช้ความรู้อื่นๆ มาร่วมด้วย โดยผู้เรียนจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรมหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง  ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน โครงงานบางเรื่องอาจต้องการวัสดุอุปกรณ์นอกเหนือจากที่มีอยู่ ซึ่งผู้เรียนจะต้องพัฒนาขึ้น หรือดัดแปลงเพื่อให้ใช้งานได้ตรงกับความต้องการ โดยในการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์จะอยู่ภายใต้การดูแลและให้คำปรึกษาของผู้สอน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ

การทำโครงงานและการจัดงานแสดงโครงงานคอมพิวเตอร์จะมีคุณค่าต่อการฝึกฝนให้ผู้เรียนมีความรู้ ความชำนาญ และมีทักษะในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และยังมีคุณค่าอื่นๆ อีกดังต่อไปนี้
· เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
· เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่ผู้เรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ
·ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน
·  กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจในการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้
· ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
· สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
· สร้างสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง




ความสำคัญของโครงงาน
        ในการจัดการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมเสริมตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นพุทธศักราช 2521 ( ฉบับปรับปรุง 2533) มีดังนี้
1.  ด้านนักเรียน
1.1 ช่วยสร้างความหวังใหม่ในการริเริ่มงานที่จะนำไปสู่งานอาชีพ การศึกษาต่อในวิชาที่ตนเองถนัดและสนใจ
1.2 สร้างเสริมประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงด้วยชีวิตจริง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจอย่างซาบซึ้งในโครงงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมา
1.3 ได้มีโอกาสทดสอบความถนัดของตนเอง และการแก้ปัญหาในงานที่ตนเองสนใจ และมีความพร้อม ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินต่อไป
1.4 ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจที่ได้สร้างเกียรติประวัติในโครงงานที่ได้ริเริ่มสร้างสรรค์
      1.5 ก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีงามต่อกันในระหว่างเพื่อนร่วมงานเพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม
1.6 ก่อให้เกิดความรู้ทางวิชาการที่กว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับความสนใจในการศึกษาตามหลักสูตร และตรงกับจุดหมายที่กำหนดไว้


2. ด้านโรงเรียนและครูอาจารย์
2.1 เกิดการประสานงานทางวิชาการที่ผสมผสานหรือบูรณาการเกิดขึ้นในโรงเรียนตรงกับหลักสูตรมัธยมศึกษา และแนวการพิจารณาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
2.2 เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า การเรียนการสอนในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการฝึกปฏิบัติจริงในโครงงานของนักเรียนมากกว่าที่จะเรียนอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น
2.3 เกิดศูนย์รวมสื่อการเรียนการสอน หรือศูนย์วัสดุอุปกรณ์การสอนสำหรับในหมวดวิชาต่างๆในโรงเรียนไดใช้ร่วมกัน ส่งผลให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกใช้สื่อการสอนอย่างแท้จริงและหลากหลาย
2.4 เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียน โรงเรียนครูอาจารย์ที่มีโอกาสปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตรงกัน

3. ด้านท้องถิ่น
3.1 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้ ผลงานในเชิงปฏิบัติโครงงานของนักเรียนที่ประสบความสำเร็จไปสู่ท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นกับโรงเรียนมีความเข้าใจและประสานสัมพันธ์กันดี
3.2 ช่วยลดปัญหาวัยรุ่นในท้องถิ่นเกี่ยวกับความประพฤติ จรรยามารยาท และศีลธรรม เพราะนักเรียนที่มีโครงงานมักจะเป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี มุ่งมั่นและสนใจศึกษาเล่าเรียน
3.3 ทำให้ประชาชนในท้องถิ่น มีพื้นฐานทางการศึกษาดี โดยเฉพาะงานอาชีพหลากหลาย และพัฒนาการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เยาวชนของชาติมีนิสัยรักการทำงาน ไม่เป็นคนหยิบหย่ง และช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยดี



สืบค้นเมื่อ : วันจันทร์ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความรู้ blogger ค่ะ

บทความให้กำลังใจ



 

                               เรื่องที่ 1.กำลังใจ 


        การพิสูจน์ตนเองที่ดี อาศัยเวลาและการกระทำ มิใช่อธิบายและเหตุผลร่าเริงเป็นยาบำรุง ความหวังเป็นยาบำรุง เมตตาเป็นยาบรรเทาด้วยรักที่จะเรียนรู้ ล้มเหลวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย มันให้บทเรียนและพิสูจน์ศรัทธาเราทำงาน อย่าให้งานทำเรา ให้งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ให้ชีวิตเพียงรู้จักรักการงานชีวิตที่สดชื่นแจ่มใส ก้าวเดินไปด้วยการเรียนรู้ สันโดษอยู่ด้วยการแสวงหาผิดพลาดย่อมผิดหวัง คนเราผิดหวังได้เสมอ แต่อย่ายอมอยู่อย่างสิ้นหวังในความว้าเหว่เงียบเหงา เพียงเรารู้จักสงบ เราจะพบตัวเราเองรอยร้าวในใจของนักสู้ ไม่ใช่อยู่ที่เคยล้มเหลว แต่อยู่ที่ไม่ยอมเริ่มต้นใหม่ถ้าใจจะต้องปวดร้าว อย่างไรก็ปวดร้าว เร็วไปวันสองวันจะเป็นไรไป....แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน ประสบการณ์เป็นบทเรียน



เรื่องที่ 2.คุณควรรู้


ความสำคัญ
การให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น เป็นสิ่งที่ดี
แต่ก่อนที่คุณแต่ละคนจะให้ความสำคัญกับผู้อื่นนั้น
คุณเคยให้ตัวคุณเองหรือยัง
ถ้าคุณไม่เคยก็แสดงว่าคุณก็ไม่สามารถให้
ความสำคัญกับผู้อื่นได้เช่นกัน


ความรัก
คุณเคยให้ความรักกับคนอื่นนอกจากญาติพี่น้องของตัวเองหรือไม่
ถ้าคุณเคยจงจำไว้ว่าคนที่คุณรักไม่จำเป็นว่า จะต้องรักคุณ
อย่าคาดหวังกับคนที่คุณรักมากจนเกินไป
เพราะมันอาจทำให้คุณผิดหวังได้
แต่ถ้าคุณไม่เคย จงถามตัวเองว่า
ทำไมถึงไม่รักใครซักคน
คุณกลัวเจ็บ หรือคุณกลัวโดนหลอกใช่หรือไม่
แล้วถ้าใช่คุณไม่คิดลองดูเพื่อเป็นรสชาติชีวิตหรือ


คุณเคยได้รับความรักจากผู้อื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของคุณหรือไม่
ถ้าคุณเคย จงดีใจและยินดี
และจงถนอมใจของคนผู้นี้ไว้
เพราะคนที่คุณรักอาจไม่รักคุณ แต่บุคคลผู้นี้เค้าอาจรักคุณ
สุดจิตสุดใจที่เค้าจะมีได้ก็อาจเป็นได้
และถ้าคุณก็รักคนผู้นี้ จงอย่าเสียเวลา
ปิดบังความในใจนี้เลย
เพราะเป็นโอกาสของคุณแล้ว
ถ้าคุณขืนยังปิดบังล่ะก็ คุณอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตของคุณก็ได้
ถ้าคุณไม่เคย จงอย่าเสียใจและท้อถอย
บนโลกใบนี้ ต้องมีซักวันที่จะมีคนมารักคุณ



เรื่องที่ 3.จงฉลาดพอที่จะอ่าน


  จงฉลาดพอที่จะอ่าน.....
จง…เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง...ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
จง…คิดก่อนทุกครั้งที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
จง...ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะเชื่อในปาฏิหาริย์
จง ...เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง
จง...เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
จง...เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนราง
จง...เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
จง...เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง..มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจว่า ไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง..ใช้เวลามอง หรือให้โอกาสกับตัวเองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
จง...รักคนที่รักคุณ แม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 ปีเขาก็ยังรักคุณ
จง...รักคนที่ไม่รักคุณแล้ว...สักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ
จง...อย่าปล่อยให้คนที่รักคุณหลุดลอยไป
สุดท้าย จง...อย่าหลอกตัวเอง


เรื่องที่ 4.แผนที่ชีวิต
  
ต่อไปนี้เป็นคำสอนของพ่อคนหนึ่งที่มอบให้แก่ลูกหลังจากลูกเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นคู่มือในการคำเนินชีวิตต่อไป........

พ่อบอกว่า.......ลูกเอ่ย เจ้าควร.... 1.เฝ้าดูดวงอาทิตย์ตกอย่างจริงจัง อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
2.อย่าดูถูกผู้อื่น
3.พูดคำว่า ขอบคุณ ให้มากๆ
4.มีชีวิตอยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายของเจ้าเอง
5.ปฎิบัติกับคนอื่นเช่นเดียวกับที่เจ้าอยากให้คนอื่นปฎิบัติกับเจ้า
6.บริจาคเลือดทุกปี
7.คบหาเพื่อนใหม่ และรำลึกถึงเพื่อนเก่าเสมอ
8.รักษาความลับเป็น
9.ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
10.จงแสดงความกล้าหาญ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนกล้าก็ตาม
11.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก มิใช่เพื่อการเป็นหนี้สิน
12.อย่าขี้โกง
13.อ่านหนังสือธรรมะอย่างจริงจัง ปีละ 1 ครั้ง
14.เรียนรู้ที่จะฟัง
15.อย่าสิ้นหวัง
16.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดๆ นอกจากปัญญาและความกล้าหาญ
17.อย่าแสดงอะไรออกมาเมื่อมีอารมณ์โกรธ
18.มีบุคลิกที่ดี เดินเข้าไปในห้องทำงานอย่างมั่นใจ
19.อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟท์
20.จงตั้งใจแพ้ศึกเล็กๆ เพื่อจะเอาชนะศึกใหญ่ๆ
21.อย่าคบกับบุคคลที่ไม่เคยสูญเสียสิ่งใดๆ เลย
22.อย่านินทาลับหลัง
23.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก จงปฎิบัติกับมันราวกับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
24.อย่าคิดว่าชีวิตจะยุติธรรมเสมอไป
25.อย่าประเมินอำนาจของการให้อภัยต่ำเกินไป
26.อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
27.อย่ากลัวที่จะกล่าวคำว่า “ผมเสียใจ”
28.อย่ากลัวที่จะกล่าวคำว่า “ผมไม่รู้”
29.จงเขียนเรื่องราว 25 ประการที่อยากรู้ก่อนตายไว้ในกระเป๋าและ นำมันติดตัวไปด้วยเสมอ
30.โทรศัพท์ถึงแม่บ้าง "


เรื่องที่ 5.โอกาส

    ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก
เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง
ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก
แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่
คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา
"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"
"ฉันชื่อโอกาส"
"ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา"
"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"
"ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"
"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"
"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"
"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"
"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"
"ก็เพื่อให้คนที่พบฉันจะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"
"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"
"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้วก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"
จริงด้วย ทางด้านหน้าของ "โอกาส"
มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยงเพราะเมื่อปล่อยให้
"โอกาส"
ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก
"โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า
"อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู
แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน
ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ
เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง
ให้รีบตัดสินใจ
ให้ลงมือทำ
ให้ออกแรง ให้สู้
เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ
จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป
เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง
ที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย"


เรื่องที่ 6.ปรัชญาของชาวจีน


1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าแต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
3 จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
4 เมื่อกล่าวคำว่า "ฉันรักเธอ" จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
5. เมื่อกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จงสบตาเขาด้วย
6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
7. จงเชื่อในรักแรกพบ
8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
11. อย่าตัดสินคนคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
12. จงพูดให้ช้าแต่ต้องคิดให้เร็ว
13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่าจะรู้ไปทำไม
14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และ ความสำเร็จล้วนต้องมีการเสี่ยง
15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
20. จงยิ้มเวลารับโทาศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
21. จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง

ภาพที่ฉันประทับใจ


ฉันประทับใจภาพนี้ เพราะว่า จากภาพจะเห็นผู้สูงอายุกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่ แม้ว่าทั้งคู่มีจะมีอายุมากแล้ว แต่หน้าตาของท่านทั้งสองดูมีความสุขมากๆ การที่มีคู่ครองคู่ชีวิตที่ดี ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่คบกัน ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก จะมีซักกี่คนที่จะมีความสุขแบบท่านสองคนนี้